วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

ประวัติเจ้าของ blog

ชื่อ ด.ช.วรเมธ   สุวรรณ์

เพศ ชาย           สัญชาติ ไทย

โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย
 ชั้นม.2/4    เลขที่16

APOLLO 11

ประวัติย่อของโครงการอะพอลโล

          การส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ เป็นเจตนารมณ์ของ ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคเนดี ซึ่งเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริการ ( ค.ศ. 1961) เป็นเจตนารมณ์ประวัติศาสตร์ของปรเทศต่อสภาคองเกรสสหรัฐฯ ในการส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ โดยกล่าวว่า " ข้าพเจ้าเชื่อว่าประเทศนี้ ควรจะตั้งเป้าความมุงมั่น ก่อนจะสิ้นสุดทศวรรษนี้ (ก่อนปี ค.ศ. 1970) ในการนำมนุษย์ไปลงสู่ดวงจันทร์ และนำเขากลับคืนมายังโลกอย่างปลอดภัย"
           โครงการอะพอลโล (Apollo Program) เป็นโครงการนำมนุษย์ไปสู่ดวงจันทร์ ระบบการนำมนุษย์ไปสู่ดวงจันทร์ ประกอบด้วยสามส่วน ดังนี้
 1.Service Module (SM)  เป็นจรวดขับเคลื่อนและเชื้อเพลิง
 2.Command Module (CM) เป็นส่วนการควบคุมยานอวกาศและที่อยู่ของมนุษย์อวกาศระหว่างโลกกับดวงจันทร์
 3. Lunar Module (LM) เป็นส่วนยานที่นำมนุษย์ลงสู่ดวงจันทร์
          ตามแผนการเดินทางของโครงการอะพอลโล มนุษย์อวกาศสามคนเดินทางจากโลกอยู่ในส่วน Service Module เมื่อเช้าสู่วงโครจรดวงจันทร์ มนุษย์อวกาศสองคนจะเดินทางลงสู่ดวงจันทร์โดยยาน
 Lunar Module  โดนมีมนุษย์อวกาศคนหนึ่งอยู่ใน Command Module โครจรรอบดวงจันทร์
            หลังจากการสำรวจดวงจันทร์แล้ว มนุษย์อวกาศสองคนจะเกินทางขึ้นจากดวงจันทร์ โดยอาศัยส่วนบนของยาน Lunar Module ปล่อยทิ้งส่วนล่างที่เป็นฐานของยาน Lunar Module ไว้บนดวงจันทร์
            มนุษย์อวกาศสองคนจะเปลี่ยนที่อยู่จากยาน Lunar Module เข้าไปอยู่ใน Command Module เตรียมตัวเดินทางกลับโลก เมื่อพร้อมส่วนของ Lunar Module ก็จะถูกปล่อยทิ้งจาก Command Module  เพื่อนำมนุษย์อวกาศทั้งสามคนกลับโลก
            เมื่อถึงโลก ส่วนที่เป็น Command Module พร้อมด้วยมนุษย์อวกาศ จะแยกตัวออกจากยาน Service Module เพื่อเดินทางกลับสู่โลก
             โครงการอะพอลโล (11 16-24 กรกฎาคม ค.ศ. 1969)



สัญลักษณ์โครงการอะพอลโล 11
           


                  มีมนุษย์อวกาศที่ร่วมเดนทางด้วยกันสามคน คือ Nnil Armstrong , Michael Collins ,
Edwin W. " Buzz" Aldrin Jr. เดินทางจากโลกไปถึงดวงจันทร์ เข้าสู่วงโครจรรอบดวงจันทร์ จากนั้นวันที่ 20 กรกฎาคม
Nnil Armstrong และ" Buzz" Aldrin  เดินทางลงสู่พื้นผิวดวงจันทร์กับยาน Lunar Module โดยมี
Michael Collins ประจำอยู่ในยาน Command Module เพื่อรอที่จะนำสู่การกลับโลก
                     Nnil Armstrong เป็นมนุษย์คนแรกที่เหยีบบนดวงจันทร์ ตามด้วย " Buzz" Aldrin  เป็นคนที่ 2 ทั้งสองเดินสำรวจบริเวณรอบๆที่ยาน  Lunar Module ที่ชื่อ Eagle ลงจอด และได้ปักธงชาติสหรัฐฯลงบนผิวดวงจันทร์ และได้ตั้งอุปกรณ์เครื่อมือทางวิทยาศาสตร์ คือ เครื่องสะท้อนแสงเลเซอร์ และยังได้เก็บตัวอย่างหินดวงจันทร์ 21.7 กิโลกรัม เพื่อนำกลับมายังโลก
                 มนุษย์จากโลกชุดแรกสามารถอยู่บนดวงจันทร์ได้ประมาณ 21 ชั่วโมง







รูปของ Lunar Module



รูปของ  Command Module




รูปของ Service Module








อ้างอิงจาก : หนังสือ อะพอลโลกับทฤษฎีลวงโลก

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

เพื่อน 5 แบบ ที่คุณต้องการมากที่สุด ในที่ทำงาน



ปัจจุบันในขณะที่คนทำงานส่วนใหญ่ ใช้เวลาอยู่ในที่ทำงานมากกว่าที่บ้าน การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน จึงน่าจะเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยให้ชีวิตในที่ทำงานนั้นน่ารื่นรมย์ขึ้น หรืออย่างน้อยก็ดีกว่าที่เป็นอยู่ และยังอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ในการทำงานของแต่ละคนได้ด้วย โดยรายงานสำรวจของสำนักวิจัย Gallup ระบุว่าการมีเพื่อนใกล้ชิดในที่ทำงาน ช่วยเพิ่มความพึงพอใจให้แก่พนักงานหรือลูกจ้างได้เกือบ 50%


ใครๆ ก็อยากมีเพื่อนดีๆ สักคน คนเฒ่าคนแก่ตั้งแต่สมัยโบราณก็แนะนำว่า จะคบใครก็ดูให้ดีดี คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล นักเขียนอเมริกัน Tania Khadder มีคำแนะนำซึ่งตีพิมพ์อยู่ในเว๊บไซต์ Yahoo ว่า เพื่อน 5 คนในที่ทำงานที่อาจเป็นเสมือนบัณฑิตนำผลดีมาสู่เราๆ ท่านๆ นั้น มีใครกันบ้าง

เพื่อนคนแรกเลยก็คือ ผู้จัดการฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศหรือ IT Manager ?เหตุผลก็คือทุกวันนี้ในทุกสำนักงาน ต่างแวดล้อมไปด้วยเครื่องมือหรือเทคโนโลยีสมัยใหม่มากมาย ลองจินตนาการว่าหากคอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่เป็นประจำเกิดหยุดทำงานขึ้นมาดื้อๆ ระหว่างที่กำลังเร่งทำงานสำคัญส่งหัวหน้า เราจะปวดหัวแค่ไหน ปัญหานี้ผู้จัดการฝ่าย IT ช่วยคุณได้ สร้างสัมพันธ์อันดีกับเขาไว้ทั้งในเวลาที่คอมพิวเตอร์เกิดปัญหาและในเวลาปกติ เผลอๆ เคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ล่าสุดที่บริษัทเพิ่งสั่งมาอาจมาวางอยู่ตรงหน้าคุณก่อนคนอื่นๆ ก็เป็นได้

เพื่อนคนที่สองได้แก่ พนักงานอาวุโส ?ซึ่งอาวุโสนี้ไม่ได้หมายความว่าต้องสูงอายุ แต่หมายถึงคนที่ทำงานก่อนเรามาเป็นเวลานาน และรู้เรื่องราวต่างๆ ตลอดจนวัฒนธรรมขององค์กรเป็นอย่างดี เขาหรือเธอคนนั้นคือสะพานเชื่อมโยงเรา กับพนักงานเก่าแก่คนอื่นๆ และสามารถตอบคำถามที่เราสงสัยเกี่ยวกับองค์กร (ในกรณีที่เราไม่อยากถามกับหัวหน้าโดยตรง) แต่ที่สำคัญก็คือการจะเลือกคบเพื่อนแบบนี้ต้องเลือกที่มีความอดทนสูง ใจเย็น ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะรำคาญกับคำถามมากมายที่เราระดมใส่ก็เป็นได้

เพื่อนคนต่อไปคือ เพื่อนสนิทคนละแผนก คนที่เราจะสามารถเล่าหรือนินทาเรื่องในแผนกของเรา ให้ฟังได้อย่างสนิทใจ โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะแอบเอาไปฟ้องหัวหน้า หรือกลัวว่าจะมองหน้ากันไม่ติดในกรณีที่เขาได้เลื่อนตำแหน่งไปก่อนเรา และในฐานะคนวงนอก เพื่อนสนิทต่างแผนกนี้จะสามารถให้คำแนะนำ เรื่องการทำงานได้ดีกว่าคนวงใน เพราะไร้ซึ่งอคติ ? และที่ดีที่สุดคือเมื่อเพื่อนคนนี้นำปัญหาในแผนกเขามาเล่าให้เราฟัง นั่นจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น

เพื่อนคนที่สี่เป็นคนที่เราต้องพึ่งพาในเรื่องเครื่องใช้สำนักงานอยู่ตลอดเวลา และยังเป็นคนคอยจัดการเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการจองโรงแรม ตั๋วเครื่องบินหรือจัดตารางการเดินทางเพื่อธุรกิจ เพื่อนคนนี้คือ ผู้จัดการหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรการ และสำนักงานนั่นเอง ฟังแค่ตำแหน่งก็คงจะทราบแล้วว่าเพื่อนคนนี้น่าคบแค่ไหน แต่ความลับที่คุณอาจไม่รู้ก็คือ ผู้จัดการฝ่ายธุรการ และสำนักงานส่วนใหญ่ มักจะเหนื่อยหน่ายที่ตนเองไม่ค่อยเป็นจุดสนใจในที่ทำงานเท่าไรนัก และคนในที่ทำงานจะมาพูดคุยกับเขาหรือเธอเฉพาะเวลาที่ต้องการอะไรสักอย่างเท่านั้น ดังนั้น เป็นโอกาสอันดีที่คุณจะสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนคนนี้อย่างแท้จริง

สำหรับเพื่อนคนสุดท้ายนั้นเป็นเพื่อนจริงๆ เพื่อนที่ดีที่สุดสักคนในที่ทำงาน ไม่ว่าเพื่อนคนนั้นจะอยู่ในตำแหน่งอะไร คนที่คุณพอจะฝากผีฝากไข้ หรือฝากงานได้เมื่อต้องการกลับบ้านเร็ว คนที่คุณสามารถนินทาหัวหน้าให้ฟังได้อย่างสนิทใจ หรือเตร็ดเตร่หาอะไรทำด้วยกันได้หลังเลิกงาน เพื่อนคนนี้จะแตกต่างจากคนอื่นๆ ที่กล่าวมาเพราะจะเป็นคนที่ช่วยให้คุณอยากมาทำงาน ช่วยลดความเครียด สร้างรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะ และช่วยพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของคุณได้ เพื่อนคนนี้ไม่จำเป็นต้องเก่ง ไม่จำเป็นต้องรอบรู้ ขอเพียงแค่จริงใจก็พอแล้ว








ที่มา : Voice of America? http://www.voanews.com/


หมายเหตุ:แสดงความคิดเห็น โปรดไปที่แสดงความคิดเห็นในฐานะ แล้งเลือก ชื่อ/URL

10 อุปนิสัยที่ทำลายการทำงานของสมอง







สมองถือเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย มีหน้าที่ควบคุมและสั่งการการเคลื่อนไหว พฤติกรรม และรักษาสมดุลภายในร่างกาย เช่น การเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต สมดุลของเหลวในร่างกาย และอุณหภูมิ เป็นต้น หน้าที่ของสมองยังเกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความจำ การเรียนรู้การเคลื่อนไหว และความสามารถอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้


ดังนั้น คุณควรใส่ใจสมองของคุณ ด้วยการรีเช็ค 10 อุปนิสัยที่ทำให้สมองของคุณเสื่อมถอย!


1.ไม่รับประทานอาหารเช้า                          6. อดนอน

2. รับประทานมากเกินไป                             7. คลุมหน้าเวลานอนหลับ

3. สูบบุหรี่                                                      8. ทำงานหรืออ่านหนังสือคร่ำเคร่งเวลาป่วย

4. รับประทานหวานจัด                                9.ไม่หมั่นฝึกใช้สมอง

5. รับอากาศเป็นพิษ                                     10. ไม่ค่อยพูดคุย

              คุณอาจสงสัย 10 อุปนิสัยนี้มีความเกี่ยวพันกับการทำงานของสมองอย่างไร เราจึงขออธิบายดังนี้ การไม่รับประทานอาหารเช้า จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของสมอง หากรับประทานอาหารมากเกินไป ทำให้เส้นเลือดในสมองหนาเกิดการเกาะตัวของไขมัน สมองจึงทำงานช้าลง การสูบบุหรี่นอกจากจะทำลายสุขภาพแล้ว ยังทำให้สมองฝ่อเกิดเป็นโรคอัลไซเมอร์ตามมา รับประทานหวานมาก ก็มีน้ำตาลมาก ซึ่งน้ำตาลนี้เองที่ไปขัดขวางการดูดซึมของโปรตีนและสารอาหาร เป็นสาเหตุที่ตามมาของการทำงานของสมอง เมื่อร่างกายรับอากาศเป็นพิษเป็นประจำ สมองซึ่งเป็นอวัยวะที่ต้องการออกซิเจนมากที่สุดในร่างกาย อากาศเสียจะส่งผลต่อการทำงานของสมองโดยตรง

การอดนอน ทำให้เซลล์สมองไม่ได้รับการทดแทนจากการฟักตัวของเซลล์ใหม่ เซลล์สมองที่ตายแล้วจะสะสมจนมีปริมาณมาก ซึ่งเป็นอันตรายในระยะยาว หากคุณคลุมหน้าเวลานอนหลับ จะทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่หายใจออกมาสะสมกัน กลายเป็นก๊าซออกซิเจนที่ต้องการมีไม่เพียงพอ สมองจะค่อยๆถูกทำลาย การทำงานหรืออ่านหนังสือคร่ำเคร่งเวลาป่วยไข้ไม่สบาย นอกจากจะลดประสิทธิภาพการใช้งานสมองแล้ว ยังทำลายสมองอีกด้วย ส่วนการไม่ใช้สมองก็เหมือนไม่ออกกำลังกายให้สมอง มีผลทำให้สมองฝ่อ ดังนั้น การใช้ความคิดเป็นการฝึกความจำที่ดี ในผู้ที่มีอายุมากควรฝึกบ่อยๆ และการพูดน้อย ไม่ค่อยพูดกับผู้อื่น อาจทำให้สมองมีปัญหา เพราะการพูดคุยช่วยทำให้สมองมีการทำงานและพัฒนา แต่ควรคุยแบบสร้างสรรค์ ไม่ใช่ชวนทะเลาะ จึงจะเป็นการเริ่มต้นที่ดี

อ้างอิง : FW Mail
หมายเหตุ: แสดงความคิดเห็นให้ไปที่ แสดงความคิดเห็นในฐานะ เลือก ชื่อ/URL

วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

10เรื่องของ เจ้าแมลงสาบ ที่คุณอาจจะยังไม่รู้

เจ้าแมลงสาบที่ใครบางคนเกลียดกลัว  มันก็มีเรื่องแปลกๆเหมือนกัน







อันดับที่ 10 ไข่แมงสาบ




แมลงสาบ วางไข่เป็นกลุ่ม กลุ่มละหลายฟอง และจะเชื่อมติดกันเป็นกลุ่มด้วยสารเหนียวมีลักษณะเป็ นแคปซูล หรือกระเปาะ รูปร่างเหมือนเมล็ดถั่ว (ootheca) รูปร่างลักษณะของแคปซูลจะแตกต่างกับไปไม่แน่นอนแล้วแ ต่ชนิดของ แมลงสาบ แมลงสาบ บางชนิดจะนำกระเปาะไข่ติดตัวไปด้วยจนไข่ใกล้จะฟักจึง ปล่อยออกจากลำตัว แต่บางชนิดอาจมีการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ (parthenogenesis) ก็ได้ ลักษณะ การวางไข่ของ แมลงสาบ แตกต่างกัน บางชนิดจะวางไข่ตามซอกมุมหรือในดิน หรืออาจจะวางติดกับฝาผนังบ้าน หรือเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ แมลงสาบหนึ่งตัว สามารถวางไข่กี่ฟองในชั่วชีวิตของมัน โดยเฉลี่ยแล้วแมลงสาบมีอายุ 180 วัน มันวางไข่เป็นกระเปาะ กระเปาะละ 30-40 ฟอง โดยชั่วชีวิตของมันจะออกได้ 6-8 ล็อก เมื่อคำนวณดูพบว่าแมลงสาบตัวเมียหนึ่งตัวสามารถกำเนิ ดลูกถึง 180 - 320 ตลอดชั่วชีวิตของมัน นับว่าเป็นแมลงที่ลูกดกจริงๆ



อันดับที่ 9 แมลงสาบต้นเหตุทำให้โลกร้อน




ข้อมูลนี้เป็นเรื่องจริง จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าแมลงสาบผายลมออกมาเป็นก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ เฉลี่ยทุก 15 นาที หลังจากมันตายมันก็ปล่อยก๊าซมีเทนถึง 18 ชั่วโมง จากสถิตพบว่าผายลมที่แมลงปล่อยมีมากถึง 20 % ของการปล่อยก๊าซมีเทนทั้งหมดในโลก ด้วยเหตุนี้ทำให้แมลงสาบขึ้นบัญชีดำว่าเป็นตัวการใหญ ่ที่ทำให้เกิดโลกร้อน อย่างแท้จริง(นอกจากนี้ยังมีตัวการอีกชนิดคือปลวก ซึ่งปลวกทุกตัวจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ออกมา เพราะการกัดกินไม้ทำให้เกิดก๊าซขึ้นในกระเพาะ มันจึง ผายลมออกมา)



อันดับที่ 8 ทำไมแมลงสาบตายมันจึงหงายท้อง?






แมลงสาบป่าเป็นอาหารชั้นดีสำหรับนกและสัตว์ตัวเล็กๆ อื่นๆ แต่เมื่อแมลงสาบมาอาศัยบ้านเรานั้น แน่นอนเรากินมันไม่ได้ ดังนั้นการกำจัดแมลงสาบคือการใช้เท้ากระทืบหรือเอาอะ ไรสักอย่างทับให้ไส้แตก และวิธีที่ฮิตที่สุดคือการใช้สารฆ่าแมลงฉีดพ่น แต่คุณเคยสังเกตไหมว่าทำไมเมื่อแมลงสาปโดนสารฆ่าแมลง นี้เข้าไป ทำไมมันจึงหงายท้องก่อนตาย ความจริงแล้ว แมลงสาบในธรรมชาติส่วนน้อยเท่านั้นที่หงายหลังตาย เพราะโดยทั่วไปแมลงสาบมักเป็นอาหารแก่สัตว์ต่างๆ ก่อนที่มันจะตายนั้นเอง แต่ เมื่อแมลงสาบมาอยู่บ้านมนุษย์ แมลงสาบไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออาศัยอยู่บนพื้นผิว เรียบๆลื่นๆ และโล่งๆ โครงสร้างร่างกายของมันส่วนใหญ่สร้างมาเพื่ออาศัยอยู ่ในพื้นที่ขรุขระ มีเศษวัสดุอย่าง เช่น ใบไม้กิ่งไม้ กระจัดกระจายไปทั่ว เมื่อมันมาอาศัยอยู่ในบ้าน ซึ่งมีแต่พื้นเรียบๆลื่นๆ และโล่งๆ จากก็จะทำให้มันมีโอกาสมากที่จะพลิกกลับลำตัวไม่ได้ เมื่อเผอิญหงายท้องไป



ดังนั้นอาจบอกได้ว่า บ้านใครที่สะอาดๆ แมลงสาบมีโอกาสจะตายเองมากกว่า ส่วน กรณีที่ว่าทำไมแมลงสาปโดนสารฆ่าแมลงนี้เข้าไป ทำไมมันจึงหงายท้องก่อนตาย เนื่องด้วยสารฆ่าแมลงส่งผลผลต่อระบบประสาทของแมลงสาบ โดยไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Cholinesterase เอนไซม์ชนิดนี้เป็นเอนไซม์ที่มีหน้าที่สลาย Acetylcholine (ACh) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาท เมื่อเอนไซม์ไม่ทำงาน มี ACh มากเกินไป จะทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการอัมพาต ขาของแมลงสาบจะงอเข้าหากัน เกิดเป็นความไม่สมดุล และทำให้แมลงสาบหงายท้องตายนั้นเอง



อันดับที่ 7 แมลงสาบอินเตอร์ (มันดันอยู่ซะทุกทวีป)














คำว่าแมลงสาบมาจากภาษาสเปนคำว่า Cucaracha ส่วนภาษาอังกฤษแรกเริ่ม(ปี 1624)เขียนว่า Cacarootch แต่กระนั้นแมลงสาปนั้นมีอยู่ทั่วโลก ทุกทวีป ทั่วประเทศ จึงไม่น่าแปลกที่มันมีคำเรียกหลายภาษา เช่น ภาษาดัตซ์: kakkerlak m ,ฮิบรู:(jook) , ญี่ปุ่น: (gokiburi), มองโกเลีย: (joom), รัสเซีย: (tarakan), สวีเดน: kackerlacka, ตุรกี: hamam , อูดุ(Urdu)เป็นภาษาของชาวปากีสถานและอินเดียเหนือ



อันดับที่ 6 เสียงของแมลงสาบมาดากัสการ์








แมลงสาบไม่ใช่ทุกพันธุ์ที่จะบินได้ เช่น แมลงสาบมาดากัสการ์เป็นแมลงสาบที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาแ มลงสาบด้วยกัน ชื่อสามัญว่า "Madagascan Giant Hissing Cockroach" ที่มาของชื่อเนื่องจากมันชอบร้องเสียงดังในระหว่างกา รผสมพันธุ์ และเมื่อมันถูกรบกวน หรือต้องการสื่อสารกับพวกให้รู้ถึงอันตราย อย่าง ที่บอกคือความสามารถพิเศษแมลงสาบมาดากัสการ์คือเสียง โดยตัวเต็มวัยของทั้งสองเพศและตัวอ่อนในระยะหลังสามา รถทำเสียงได้ เสียงนั้นคล้ายเสียงขู่ของงู (hissing sound) อวัยวะที่ให้กำเนิดเสียงของแมลงสาบชนิดนี้อยู่ที่รูหายใจ (spiracle) จากด้านข้างของท้องปล้องที่ 4 ทั้งสองข้าง แมลงสาบยักษ์ทำเสียงเพื่อใช้ในการเกี้ยวพาราสีก่อนผส มพันธุ์ แมลงสาบเพศผู้อาจใช้เสียงขู่เพื่อไล่ตัวผู้อื่นๆเพื่อแย่งตัวเมีย นอกจากนี้เสียงขู่ยังใช้สำหรับป้องกันตัวเองจากศัตรู ธรรมชาติ



อันดับที่ 5 แมลงสาปหัวขาดแล้ว แต่ยังไม่ตาย








ด้วยลักษณะโครงสร้างของแมลงสาบ ทำให้มันค่อนข้างทนทานกับแรงกระแทกและอื่นๆอีกมากมาย บางครั้งก็เอาของหนักวางทับมัน มันก็ไม่ตาย และที่อึดยิ่งกว่านั้น คือ หัวขาดแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้เป็นอาทิตย์ ซึ่งน่าแปลกมากทำไมแมลงสาปโดนตัดหัวแล้วไม่ตาย แต่ในขณะที่มนุษย์โดนตัดหัวถึงตาย นักวิทยาศาสตร์ได้ให้คำอธิบายว่า เปรียบเทียบระหว่างคนและแมลงสาปโดนตัดหัวว่า คนเรานั้นเมื่อโดนตัดหัวจะเสียชีวิตทุกรายเพราะเสียเลือดแรงดันเลือดต่ำลง ทำให้ไม่สามารถส่งออกซิเจนและสารอาหารเดินทางไปเลี้ย งเนื้อเยื่อในส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ อีกประการหนึ่ง คนหายใจทางปากและจมูก มีสมองทำหน้าที่ควบคุมการทำงานที่สำคัญ เมื่อไม่มีศีรษะระบบหายใจก็หยุดทำงาน และไม่มีช่องทางสำหรับอาหารเข้าสู่ร่างกาย






แต่ระบบร่างกายของแมลงสาบ ไม่ได้เป็นอย่างนั้น แมลงสาบไม่มีแรงดันโลหิตเหมือนคน มันไม่มีเครือข่ายเส้นเลือด หรือเส้นเลือดฝอยเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียน แมลงสาบใช้ระบบเส้นเลือดไหลเวียนแบบเปิด ซึ่งใช้มีแรงดันโลหิตน้อยมาก หลังจากแมลงสาบถูกตัดหัวขาดแล้ว แผลที่คอจะสมานอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดไม่ไหลทะลักออกจนตาย แมลงสาบยังหายใจผ่านทางท่อหายใจขนาดเล็กที่อยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ไม่จำเป็นต้องใช้สมองควบคุมการหายใจ และเลือดไม่ได้เป็นตัวลำเลียงออกซิเจนไปทั่วร่างกาย แต่เนื้อเยื่อต่อตรงเข้ากับท่อหายใจโดยตรง






แมลงสาบยังเป็นสิ่งมี ชีวิตที่เรียกว่า สัตว์เลือดเย็น หมายความว่า กินอาหารน้อยกว่ามนุษย์ ดังนั้น ถ้ามันได้กินอาหารสักมื้อ มันสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้หลายสัปดาห์ ตราบใดที่มันไม่ถูกสัตว์นักล่าสวาปาม แค่มันทำตัวนิ่งเฉย ไม่เดินเพ่นพ่านให้ติดเชื้อรา แบคทีเรีย หรือไวรัส มาปลิดชีพ นอกจาก นี้ อวัยวะแต่ละส่วนของแมลงสาบยังมีกลุ่มเนื้อเยื่อประสา ทเฉพาะของตัวเอง คอยตอบสนองระบบประสาทพื้นฐาน ถึงจะไม่มีสมองร่างกายของมันยังทำงานพื้นๆ ได้ เช่น ยืน และขยับตัวได้เมื่อถูกแตะ และไม่ใช่แต่ลำตัวเท่านั้นที่แสดงปฏิกิริยาตอบสนองได ้ แม้แต่หัวที่ขาดกระเด็นออกมาจากร่างกาย ยังสามารถขยับหนวดไปมาได้หลายชั่วโมงจนกว่าพลังงานหมด หรือถ้าเอาสารอาหารป้อนแล้วไปเลี้ยงในตู้เย็น หัวแมลงสาบยังขยับได้อีกนาน



อันดับที่ 4 แมลงสาบตัวการโรคภูมิแพ้








แมลงสาบเป็นตัวก่อโรคสำคัญหนึ่งของมนุษย์ คือโรคภูมิแพ้ โดยแมลงสาบจะปล่อยสาร คัดหลั่งจากตัว ไม่ว่าจะเป็นอึ หรือ อะไรก็ตามที่อยู่บนตัวมัน เป็น Allergen (สารก่อภูมิแพ้) ชั้นดี ดังนั้น เด็กที่อยู่บ้านสกปรกก็อาจจะเป็นภูมิแพ้ได้ง่าย ซึ่งภูมิแพ้นี้ถ้าเป็นเรื้อรัง จะมีโอกาสพัฒนาไปสู่การเป็นโรคหอบหืดได้ แทบ ไม่น่าเชื่อเลยว่าปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคแพ้แมลงสาบ (Cockroach allery) มากขึ้นเรื่อยๆ โดยพบอัตราการเกิดโรคสูงเป็นอันดับสองรองจากโรคแพ้ไร ฝุ่น (แพ้ไรฝุ่นประมาณ 60% , แมลงสาบ 40%) อาการที่พบในผู้แพ้แมลงสาบ คือ หายใจไม่สะดวกหรือจับหืด (asthma) อันเนื่องมาจากการสูดดมสารแพ้ (cockroach allergens) เข้าไป ปัจจุบันนักวิจัยให้การยอมรับว่าแมลงสาบสามารถก่อให้ เกิดโรคภูมิแพ้ เช่น โรคหอบหืด และโรคแพ้อากาศ (rhinitis)



อันดับที่ 3 แมลงสาปเจ้าแห่งความเร็ว








มีการวิจัยแสดงให้เห็นว่าความเร็วที่สุดของแมลงสาบพันธุ์อเมริกันมีความเร็ว เฉลี่ย 2.0 ไมล์ต่อชั่วโมง(75 เซนติเมตรต่อวินาที) ซึ่งหากเปลี่ยนเทียบกับสัตว์ใหญ่สักตัวละก็ มีวิ่งเร็วพอๆ กับเสือชีตาห์!!( 110-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ด้วยโครงสร้างที่เบา อีกทั้งสรีระที่แบนๆ ทำให้มันกระจายน้ำหนักได้ดี ดังนั้นเราจึงเห็นมันวิ่งเร็วมากจนตบแทบไม่ทัน แต่กระนั้นมันก็ชอบหลงทิศหลงทาง ต้องใช้หนวดและตาในการคลำหาเส้นทาง และมันจะปล่อยสารไว้ตามทางที่มันเดินเพื่อจะได้กลับไปที่เดิมได้เร็ว ดังนั้นจึงไม่แปลกใจแต่อย่างใดหากเราจะเหยียบแมลงสาบ แล้วพบว่าแมลงสาบจะวิ่ง สะเปะสะปะ






อันดับที่ 2 แมลงสาบผู้รอดชีวิตจากสงครามนิวเคลียร์








แมลงสาบมีชื่อเสียงมานานแล้วว่า เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทนทายาด และมีการยืนกรานแล้วว่าแมลงสาบเป็นสิ่งมีชีวิตที่รอดชีวิตจากระเบิด นิวเคลียร์แน่นอน แต่กระนั้นเราก็ไม่สามารถหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ได้ เลยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น บางทีอาจเป็นเพราะเซลล์ของแมลงสาบอาจสามารถฆ่ารังสีที่เป็นตัวก่อมะเร็ง, หรืออาจเป็นเพราะมันสามารถทนอยู่กับสภาพกัมมันตรังสี ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งได้




อันดับที่ 1 แมลงสาบซอมบี้








Emerald roach wasp มีชื่อไทยว่าต่อสาบมรกต หรือต่อมณีรัตน์ เป็นเป็นต่อชนิดหนึ่งพบได้ในแถบ แอฟริกา อินเดียและหมู่เกาะแปซิฟิก มันจะแสวงหาแมลงซักตัวเพื่อเป็นที่พักตัวอ่อนให้กับมัน โดยเหยื่อที่มันชอบคือแมลงสาบ แม้แมลงสาบมันจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวมันหลายช่วงตัวก็ตาม ซึ่งมันก็จะเข้าไปโจมตีโดยการต่อยแล้วปล่อยสารพิษประสาทที่ชื่อ Octopamine ให้แมลงสาบ ส่งผลให้แมลงสาบเป็นอัมพาตแต่ไม่สามารถจะเดินได้ด้วยตัวเอง จากนั้นต่อจะสามารถบังคับหนวดของแมลงสาบให้เดินตามมันไปยังรังของมันได้ตามต้องการอย่างว่าง่าย (คล้ายจูงหมากลับบ้าน) เมื่อเข้ารังแล้วปล่อยไข่ไว้ในตัวมันแล้วมันก็จะเด็ด กินหนวดของเหยื่อของมัน อ๊ะ! เหยื่อยังไม่ตายนะจากนั้นมันก็จะฝังแมลงสาบไว้เพื่อเ ป็นอาหารให้ลูกมันซึ่ง เมื่อลูกฟักจากไข่ก็จะเริ่มกินอาหารก็คือเนื้อแมลงสาบ ซึ่งขณะนั้นแมลงสาบไม่สามารถทำอะไรได้ (แต่ดิ้นได้ เพราะยังไม่ยอมตาย - -) ก็จะทรมานกับการถูกกินทั้งเป็นและเป็นอาหารจนตัวอ่อนโตขึ้น ซึ่งแมลงสาบก็จะเหลือแต่ซากแล้วล่ะ (ยอมตายซะที)



ข้อมูลจาก sanook.com


หมายเหตุ : เวลาแสดงความคิดเห็น โปรดเลือกที่ แสดงความคิดเห็นในฐานะ แล้วไปที่  ชื่อ/URL

ปากกาอวกาศขององค์การนาซ่า (NASA’s space pens)

เหตุเนื่องจากปากกาธรรมดาๆทั่วไปนั้นทำงานไม่ได้ในสภาพไร้แรงโน้มถ่วง ปากกาที่ไม่ธรรมดาหรือปากกาอวกาศจึงเกิดขึ้น




นักวิทยาศาสตร์จากองค์การนาซ่าใช้เวลานาน หลายต่อหลายปีและเงินจำนวนนับล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อพัฒนาปากกาที่สามารถเขียนได้ในอวกาศ เพื่อให้น้ำหมึกในปากกานั้นไหลลงมาที่กระดาษเมื่อเราเขียนในสภาพที่ไร้แรงดึงดูด (Gravitational force) ในขณะที่สหภาพโซเวียตใช้ดินสอเทียน (grease pencils) ซึ่งราคาถูกกว่าปากกาอวกาศตั้งเยอะ



จริงหรือที่นาซ่าถึงได้ทุ่มงบประมาณนับ ล้านเหรียญ และเวลาจำนวนมากเพื่อพัฒนาปากกาอวกาศที่ไม่ธรรมดาอันนั้น



ดินสออวกาศ


ในอดีต จากบันทึกประวัติศาสตร์ของนาซ่า นักบินอเมริกันก็ใช้ดินสอเทียนในการขีดเขียนบันทึกข้อมูลในสภาพไร้แรงดึงดูดเหมือนๆกับนักบินโซเวียต ที่จริงในปี 1965 นาซ่าได้สั่งซื้อดินสอกล (Mechanical pencils) จำนวน 34 ด้าม จากบริษัท Tycam Engineering Manufacturing ในฮุสตัน สหรัฐอเมริกาในราคาด้ามละ 228.89 เหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 4,382.50 เหรียญสหรัฐฯ เมื่อยอดเงินในการสั่งซื้อปากกาของนาซ่าออกเผยแพร่สู่สาธารณชนในภาพที่ไม่ค่อยจะดีนัก ทำให้นาซ่าจึงต้องคิดหาวิธีการใหม่เพื่อให้ประหยัดงบประมาณลง



ดินสอนั้นก็ยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากปลายของมันจะแตกเป็นขุยและหักออก และเมื่อมันลอยคว้างไปมาอยู่ในยานอวกาศอาจจะไปทิ่มเอานักบินอวกาศหรือเครื่องไม้เครื่องมือในยานก่อให้เกิดความเสียหายได้ นอกจากนี้ดินสอยังเป็นวัสดุที่ติดไฟ (flammable) ซึ่งนาซ่าไม่ต้องการให้มีการนำเอาขึ้นไปบนยานหลังจากที่ ยาน Apollo 1 ได้เกิดเพลิงไหม้



ปากกาลูกลื่นอวกาศ


ในขณะเดียวกัน นาย Paul C. Fisher เจ้าของบริษัท Fisher Pen Company ได้ลงทุนจำนวน 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการพัฒนาและผลิตปากกาอวกาศ (โดยไม่ได้รับทุนจากนาซ่าแต่อย่างใด) และได้จดลิขสิทธิ์ในปี 1965






ปากกาไม่ธรรมดานี้สามารถเขียนกลับหัว เขียนได้ในพื้นที่ไม่ว่าจะหนาวจัดหรือร้อนจัด ตั้งแต่ -50 ถึง 400 องศาฟาเรนไฮน์ หรือแม้แต่เขียนใต้น้ำหรือจุ่มในของเหลวชนิดอื่นๆ แต่มีข้อแม้ว่าถ้าร้อนเกินไปแล้ว น้ำหมึกจะเปลี่ยนจากสีน้ำเงินเป็นสีเขียวก็เท่านั้นเอง



หลังจากนั้น Paul Fisher ได้นำเสนอแนวคิดปากกาตัวใหม่นี้แก่นาซ่า แม้จะไม่ได้รับการยอมรับมากนักในระยะแรก แต่เมื่อได้ผ่านการทดสอบเป็นที่ประจักษ์แล้ว ปากกาดังกล่าวถูกเรียกว่า AG-7 “Anti - Gravity” Space Pen หลังจากนั้นสหรัฐฯได้ตัดสินใจในปี 1967 ว่าจะใช้ปากกาอวกาศนี้ในอนาคต






ปากกาอวกาศของ Fisher นั้น ทำงานโดยไม่ใช้แรงโน้มถ่วงของโลก โดยเก็บหมึกไว้ในตลับหมึกกับความกดดันของไนโตรเจนที่ 35 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว มากกว่าความกดดันอากาศที่ระดับผิวน้ำทะเลบนพื้นผิวโลกสองเท่าตัว และความกดดันนี้จะผลักหมึกให้ออกมาผ่านลูกลื่น (หรือลูกบอลทังสเตนคาร์ไบด์) ที่ปลายปากกา ส่วนน้ำหมึกก็เป็นน้ำหมึกที่ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน มันมีสภาพคล้ายเจล และเมื่อลูกลื่นขยับมันก็จะเปลี่ยนเจลเป็นของเหลว (น้ำหมึก) นอกจากนี้ไนโตรเจนที่อัดอยู่ภายในปากกายังป้องกันมิให้อากาศเข้าไปปะปนกับน้ำหมึก เพื่อป้องกันการระเหย (evaporate) และทำปฏิกิริยากับออกซิเจน (Oxidize)



จากรายงานของ Associated Press เปิดเผยว่าในปี 1968 นั้นนาซ่าได้สั่งซื้อปากกาอวกาศจากบริษัทของ Fisher จำนวน 400 ด้าม สำหรับโครงการเยือนดวงจันทร์โดยยานอะพอลโล่ ในปีต่อมาสหภาพโซเวียตได้สั่งซื้อปากกาอวกาศจำนวน 100 ด้ามและตลับหมึกจำนวน 1,000 ตลับ (สำหรับเปลี่ยนเมื่อหมึกหมด) เพื่อใช้ในโครงการ Soyuz space mission ทั้งประเทศสหรัฐเมริกาและสหภาพโซเวียตได้รับส่วนลด 40% ทำให้ราคาลดจาก 3.98 เหรียญสหรัฐฯมาอยู่ที่ 2.39 เหรียญสหรัฐฯ






ฉะนั้น ข้อเท็จจริงก็คือ นาซาซื้อปากกาจริงแต่ไม่ได้ใช้เงินเป็นล้านเหรียญในการซื้อหรือพัฒนาปากกาอวกาศ เพราะนาย Paul C. Fisher ได้ทุ่มทุนจำนวนดังกล่าวในการพัฒนา และจดลิขสิทธิ์เป็นเจ้าของไปแล้ว






ปากกาอวกาศรุ่นต่อมาที่นาย Fisher ได้ผลิตมีชื่อว่า Shuttle Pen ซึ่งมีลูกค้าเป็นทั้งสองประเทศมหาอำนาจอีกตามเคย และราคาขั้นต่ำอยู่ 50 เหรียญสหรัฐฯ ที่ใครๆก็เป็นเจ้าของได้





ภาพของ AG-7 “Anti - Gravity” Space Pen









อ้างอิง


 http://www.sciam.com/article.cfm?articleID=9CF01C5C-E7F2-99DF-3EEFFCD06138AEC4
หมายเหตุ: แสดงความคิดเห็น โปรดไปที่ แสดงความคิดเห็นในฐานะ แล้วเลือก ชื่อ/URL